เทศน์เช้า

กฐินโพธาราม

๒๑ พ.ย. ๒๕๔๗

 

กฐินโพธาราม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้จะเป็นวันทอดกฐิน กฐินจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสงฆ์อยู่ครบ ๕ องค์ขึ้นไป สงฆ์องค์ที่ ๕ ไง สงฆ์ ๔ องค์สวดประกาศยกให้สงฆ์องค์ที่ ๕ เป็นผู้ครองกฐิน กฐินนะ กฐินคือผ้าขาว ผ้าขาวผืนหนึ่งแล้วต้องตัด ต้องเย็บ ต้องเนา ต้องย้อมให้เสร็จภายในวันนั้น

เวลาเราเกิดมา จะทอดกฐิน ปีหนึ่งมีหนหนึ่ง แล้วกฐินนี้มีความสำคัญมากขนาดไหน? มีความสำคัญมาก แต่สำคัญมากในเรื่องของบุญนะ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว คนเราเกิดมาจากไหน เวลากฐินจะเกิดขึ้นมาต้องมีสงฆ์ สงฆ์จำพรรษาไง ถึงคราวจำพรรษาต้องหยุดเพื่อค้นคว้าตัวเอง ออกพรรษาแล้วจะต้องธุดงค์ไปเพื่อจะค้นคว้าตัวเอง

กฐินหมายถึงผ้าปัจจัย ผ้าบริขาร ผ้าเครื่องอยู่อาศัย สิ่งที่อาศัยเพื่อได้ผ้านี้แล้ว ตัดเย็บผ้านี้ ย้อมผ้านี้แล้วออกธุดงค์ไป เพื่อจะไปค้นคว้าต่อ ในเมื่อพรรษา ๓ เดือน เราก็อยู่เพื่อจะค้นคว้าตัวเอง ออกจากพรรษาไปแล้วเราก็จะค้นคว้าตัวเอง

เวลาออกเดินทาง เห็นไหม คนเราเวลาตายไป จิตวิญญาณนี้ไปไหน เวลาเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เริ่มต้นจากการเกิดคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา เวลาเราตายไป จิตวิญญาณไปที่ไหน ออกพรรษาแล้วพระไปไหน? ออกพรรษาแล้วพระก็ออกธุดงค์ ออกป่า ออกค้นคว้าหาตัวเอง สิ่งนี้คือวัฏวน ถ้าจิตนี้ย้อนกลับไปนะ อดีตชาติย้อนกลับไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่สิ่งที่สิ้นสุด

แต่เราเกิดตั้งแต่เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เป็นคนขึ้นมาจนได้บวชได้เรียนนะ แล้วพระนี่พระปฏิบัติรวมกันจนครบสงฆ์อยู่จำพรรษา สิ่งที่จำพรรษานี่เริ่มต้นไง เพราะมีเหตุว่าสงฆ์อยู่รวมกัน ๕ องค์ขึ้นไปจำพรรษา ความสามัคคีในสงฆ์นั้นเกิดขึ้นมา บุญกุศลเราทำจากสงฆ์นั้นใช่ไหม เวลาค้นคว้าก็ค้นคว้าจากตัวเอง เวลาออก ออกพรรษาแล้วบุญกุศลตรงนี้ ในพรรษาหนึ่งพระปฏิบัติ พระนั่งสมาธิ พระนั่งภาวนา พระได้คุณธรรมอะไรขึ้นมาในหัวใจบ้าง ถ้าพระได้คุณธรรมในหัวใจขึ้นมา นี่เราทำบุญกุศลอันนี้นะ

ในสมัยพุทธกาลมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง เขานิมนต์พระมาฉัน เสร็จแล้วเห็นว่าเป็นยาจกเข็ญใจ คนเขามาใส่บาตร พระเขาว่าไปบิณฑบาตแล้วจะฉันไม่อิ่ม เลยไปบิณฑบาตมาฉันก่อน เสร็จแล้วไปที่บ้านยาจกนั้น แต่เขาเป็นคนดี มีคนมาช่วยงานเขามหาศาลเลย เวลาให้อาหาร พระบอก “อิ่มแล้ว อิ่มแล้ว” จนเขาไม่พอใจนะ เขาบอก เขาประชด เขาเอาอาหารใส่บาตรให้กับพระองค์นั้นไป แล้วมาคิดถึงว่า “เราทำอย่างนี้จะได้บุญหรือได้บาป” ถึงไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เขาฉันอาหารของเราแล้วเขาประพฤติปฏิบัติ เขานั่งสมาธิ เขาเดินจงกรม เขาภาวนา บุญกุศลเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเขา เป็นของเราหมดเลย” เห็นไหม

พระจำพรรษาใน ๓ เดือนนี้บิณฑบาตเลี้ยงชีพอยู่ แล้วประพฤติปฏิบัติ เพราะงานของพระ ไม่ใช่งานของโยมใช่ไหม งานของญาติของโยมนี่พยายามหาปัจจัยเครื่องอาศัย เครื่องดำรงอยู่ของโลก แต่งานของพระคืองานค้นคว้าหาหัวใจนะ ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตัวเองเจอ ทำสัมมาสมาธิได้ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา วิปัสสนาขึ้นมา ภายใน ๓ เดือนนั้น พระปฏิบัติขนาดนี้ นี่เป็นเนื้อนาบุญของเรานะ เราถึงได้สร้างบุญกุศล

เราทอดกฐินเพื่อให้พระนี้ได้ปัจจัย ปัจจัย เห็นไหม กฐินมีตั้งแต่บาตร มีตั้งแต่กลด มีทุกอย่าง เพื่อให้พระเป็นบริขาร ๘ เวลาพระออกธุดงค์นะ มีบริขาร ๘ ขอให้มีบาตรใบหนึ่งเถอะ บิณฑบาตขอให้มีข้าวตกบาตร เวลาพระออกไปอยู่ป่า ผ้าไปเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้ต่างๆ เวลาผ้าขาดมีเข็ม มีด้าย ก็เย็บเอาสิ ปะเอา ผ้าของเราขาด บริขาร ๘ มีธรรมกรก ธรรมกรกคือเครื่องกรองน้ำ นี่อาหารอดได้ น้ำอดไม่ได้ เรามีธรรมกรกอยู่ที่ไหน น้ำที่ไหนเราก็กรองเอา เราก็เอามาฉันเอา

เห็นไหม ต้องสร้างพระให้เป็นผู้เข้มแข็ง ไม่ใช่สร้างพระให้เป็นผู้อ่อนแอ

เราทอดกฐิน ผ้าขาวให้พระตัด ให้เนา ให้เย็บ ให้ย้อม ให้พระนี้ทำเป็นไง เวลาเราซื้อเครื่องยนต์กลไกเขา เราซ่อมบำรุงไม่เป็น เรามีความทุกข์มาก เพราะเราซื้อของเขามา เราต้องจ้างเขามาบำรุงรักษา แต่เวลาพระเราตัดเองก็ได้ เย็บเองก็ได้ ทุกอย่างในบริขาร ๘ พระสามารถทำเองได้หมด เห็นไหม พระเป็นผู้เข้มแข็ง

เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ออกไปในป่าในเขา วัว โคอ่อน ปล่อยให้ลงไปในวัฏฏะ ปล่อยเข้าป่าเข้าเขาไปให้เสือมันเอาไปกิน นี่พระก็เหมือนกัน ถ้าพระเราไม่มีความเข้มแข็ง เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปมันรักษาตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าพระเราเข้มแข็งนะ มันจะรักษาตัวของมันเองได้

เรามีการทอดกฐิน เราฝึกในความสามัคคีในสงฆ์นั้น สงฆ์นั้นมีความสามัคคี สงฆ์นั้นตัดเย็บผ้าด้วยสงฆ์นั้น เย็บย้อมด้วยสงฆ์นั้น สงฆ์นี้จะเข้มแข็งมาก ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ต่างฝ่ายต่างเข้มแข็งนะ ศาสนานี้จะเข้มแข็งมาก แต่ถ้าภิกษุก็อ่อนแอ อุบาสก อุบาสิกาก็อ่อนแอ สิ่งที่อ่อนแอคืออ่อนแอจากหัวใจไง

รื่นเริงบันเทิงไปกับโลกเขา เวลาจัดงานรื่นเริง มีสิ่งมหรสพต่างๆ อันนั้นเป็นเรื่องของ...แม้แต่เราถือศีล ๘ มหรสพสมโภชก็ไม่ให้ดูไม่ให้เล่นแล้ว แล้วเราไปจัดในวัดในวา นี่ทำให้คนอ่อนแอไปเพราะมันไปรื่นเริงทางโลก แต่มันไม่รื่นเริงในหัวใจ เพราะหัวใจมีแต่ความว้าเหว่ หัวใจไม่มีความเข้มแข็ง หัวใจเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ตัดเย็บจีวรตัวเองก็ไม่ได้ รักษาบริขารตัวเองก็ไม่ได้ สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นถ้ามันชำรุดขึ้นไปเราก็ดำรงชีวิตไม่ได้

เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตไปแล้วแต่เขาจะให้หรือไม่ให้มันเรื่องของเขา ถ้าเขาให้ขึ้นมา มีแต่ข้าวตกบาตร เราก็มีเครื่องดำรงชีวิตแล้ว ดำรงชีวิตในโลกนะ เราตายไปนี่มันเป็นสมมุติ เวลาคนตายนี่ สมมุติว่าคนนี้ตายไป แต่หัวใจมันไม่เคยตาย หัวใจมันต้องไปเสวยภพเสวยชาติของมันตามอำนาจของมัน

ถ้าเราไม่กินการดำรงชีวิตของเรามันต้องตายไป แต่หัวใจไม่เคยตาย สิ่งที่ไม่เคยตายอันนี้ถ้าเราบำรุงรักษาขึ้นมาให้มันแข็งแรงขึ้นมา ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมา หัวใจที่แข็งแรงอยู่ในร่างกายของภิกษุองค์ไหน อยู่ในร่างของอุบาสก อุบาสิกาคนไหน เขาจะไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสโลกของเขา

โลกของเขา เขาสร้างสิ่งต่างๆ ให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเครื่องล่อ เป็นเหยื่อ แล้วถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง สิ่งใดเขาล่อก็ตามเขาไปหมด ตามเขาไปหมดนะ นี่อ่อนแอทั้งอุบาสก อ่อนแอทั้งอุบาสิกา อ่อนแอทั้งกับภิกษุนั้น ถ้าภิกษุนั้นมีความเข้มแข็ง สิ่งนี้เป็นบ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

สิ่งที่เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เราก็อยู่กับเขา เพราะเราเกิดมาจากโลก สิ่งนี้เกิดมาจากโลก แต่เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนินอย่างไร ถ้าสิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนินอย่างไร เราถึงต้องเข้าใจ ถ้าอุบาสก อุบาสิกามีความเข้มแข็ง เวลาเราซื้อของไปถวายพระ เราทอดกฐิน นี่เป็นผ้าขาว ผ้าขาวเพราะพระต้องเข้มแข็ง พระต้องตัดได้ พระต้องเย็บได้ พระต้องย้อมได้ พระต้องรักษาผ้าของพระได้ พระเข้าไปอยู่ในป่าในเขาไม่มีตลาดสินค้าให้ซื้อให้หา พระนั้นต้องตัดเอง เย็บเอง เนาเอง ย้อมเอง ตัดอยู่ในป่านะ เวลาผ้าขาด

เพราะมันอยู่ในวินัย ถ้าผ้าครองขาด รูเท่าเม็ดถั่วเขียวผ่านได้ ผ้านั้นขาดครอง ขาดครองหมายถึงว่าเราห่มผ้าทีไรก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทุกคราวๆ ไป ต้องปะ ต้องเนา ต้องชุน ไม่ให้ผ้านั้นขาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระนี้มีความรอบคอบ ไม่ให้พระนี้ผ้าขาดแล้วห่มผ้าขาดให้โยมเขาเห็น สิ่งนี้เป็นความเข้มแข็งของใจดวงนั้น ถ้าพระมีความเข้มแข็งอย่างนี้ สิ่งที่ว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์

แล้วผ้าก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าส่วนผสม ถ้าเป็นผ้าขาวนี่มันเป็นฝ้าย เป็นไหม เป็นเปลือกไม้ เป็นขนสัตว์ สิ่งที่เป็นขนสัตว์ เพราะสมัยพุทธกาล ผ้าบังสุกุล หมายถึงว่า ผ้าบังสุกุลที่ว่าเวลาเราบวชกัน ผ้าบังสุกุล ผ้าจีวร ประกอบไปด้วยเปลือกไม้ ป่าน ไหม ขนสัตว์ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ผสมด้วยไนล่อนอย่างนี้ ทางภาษาภาคอีสานว่า ผสมยาง ผ้าผสมยาง นี่อธิษฐานไม่ขึ้น อธิษฐานไม่ขึ้นมันก็เหมือนกับผ้าขาด ผ้าขาดเหมือนที่ว่าขาดแค่เมล็ดถั่วเขียวผ่านนี่ ห่มมันขาดครอง ขาดครองคือพระนั้นไม่มีผ้า

พระที่บวชนี้ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่บริขาร ๘ บริขาร ๘ นี้ต้องสมบูรณ์ตลอด สิ่งใดวิการไป อาบัติเกิดขึ้นจากตรงนั้น อาบัติเกิดขึ้นจากตรงนั้นก็ทำให้เราภาวนาลำบาก เพราะมันเป็นความกังวล

แม้แต่ของเราสมบูรณ์ เราคิดถึงสิ่งใดใจมันยังส่งออกไปทั้งหมด แล้วใจมันย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาว่าเราผิดพลาดต่างๆ ผิดพลาดต่างๆ ความผิดพลาดนั้นทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่านมาก สิ่งที่ฟุ้งซ่านมาก เราถึงต้องทำสิ่งนี้ให้สมบูรณ์ แล้วสมบูรณ์สมบูรณ์กับใคร ถ้าไม่สมบูรณ์จากการกระทำของเรา ถ้าสมบูรณ์จากการกระทำของเรา เราสมบูรณ์ของเรา

ความผิดพลาดของคนอื่นทุกคนเห็นได้ ความผิดพลาดของเราถ้าเรามองเห็นความผิดพลาดของเรา เราจับความผิดพลาดของเรา คนอื่นจะเห็นความผิดพลาดของเรา ถ้าเราพยายามค้นคว้าหาความผิดพลาดของเราไม่มีนะ ในหัวใจของเราไม่มีเจตนาทุจริตแม้แต่น้อย ในหัวใจของเราไม่มีความทุจริตแม้แต่จะไปต้องการของของใคร ในหัวใจของเราไม่ต้องการสิ่งต่างๆ ของในโลกนี้เลย แล้วมันจะมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะ

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกรรม ในเมื่อคนเกิดมา พระพุทธรูปไปตั้งที่อยู่ไหนก็แล้วแต่ คนบางคนก็ชมว่าสวย บางคนก็ตำหนิ เห็นไหม แม้แต่พระพุทธรูปตั้งอยู่เฉยๆ คนยังสรรเสริญ คนนินทา แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์โลกที่เกิดมาในโลกนี้ เห็นไหม นั้นเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องอำนาจวาสนาของวัฏฏะ

แต่หัวใจดวงนั้น หัวใจดวงที่ว่าประพฤติปฏิบัติเข้ามาจากภายในหัวใจดวงนั้น เกิดขึ้นมาจากปัจจัย ๔ ปัจจัยเครื่องดำรงอาศัยนี้ นี่อาศัยเขาไป เหมือนกับดอกบัวเกิดจากโคลนตม แต่จะไม่กลับไปติดโคลนตมนั้นอีกเลย

เราก็เกิดมาจากโคลนตม เราก็เกิดมาจากวัฏฏะ วัฏฏะนี้มาไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมาเริ่มต้นก่อนเข้าพรรษา พระมาประชุมกัน แล้วอยู่จำพรรษาขึ้นมา ครบ ๕ องค์ แล้วครบ ๕ องค์ออกพรรษาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทอดกฐิน ทอดกฐินแล้วพระจะเปลี่ยนผ้า จะถ่ายผ้า ถ้าผ้าผืนไหนเก่า เพราะถ้าห่มไปถึงปีหน้า ผ้าฝ้ายพอมันเปื่อย มันขาด มันขาดพร้อมกันทั้งผืน ถ้าผ้ามันขาด พระจะถ่ายผ้ากัน ถ่ายผ้าเสร็จแล้วจะออกวิเวก ออกไปในป่าในเขา

เวลาก่อนเข้าพรรษาก็มารวมประชุมกันเป็นสงฆ์ เวลาออกพรรษาแล้วก็ต่างคนต่างไปเพื่อค้นคว้าหาตัวเอง เพื่อค้นคว้าหา หาหัวใจของตัว หน้าที่ของพระคือพยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามค้นคว้าหาหัวใจของตัวให้ได้ ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตัวให้ได้ นั้นคือสมถะ สมถะคือจิตใจสงบ จิตใจสงบนี่ฤๅษีชีไพรก็ทำได้ แต่เราเป็นพระ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธอาฬารดาบสเรื่องสมาบัติ ๘ อยู่แล้วว่าสิ่งนั้นไม่ใช่มรรค เพราะมันเป็นความสงบของใจเฉยๆ ถ้าจิตใจมันสงบขึ้นมา ถ้ามันเป็นปัญญาไปโดยธรรมชาติ อาฬารดาบสเขาเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เขาเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นจิตสงบเฉยๆ

แต่เวลาจิตสงบขึ้นมาแล้ว ทำสมถะขึ้นมาแล้วต้องมีวิปัสสนา วิปัสสนาคือหัวใจที่มันเข้าไปค้นคว้า สิ่งที่เป็นความลึกลับของใจไง ความลึกลับของใจเวลาใจสงบเฉยๆ มันไม่คิด มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่มันก็มีความอาลัยอาวรณ์นะ มันก็ต้องมีการเกิดและการตาย เพราะการเกิดมานี้เกิดมาจากสมบัติ สมบัติเดิมคือการสร้างสมบารมีมามนุษย์สมบัติ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามว่าตายแล้วต้องเกิด เกิดแล้วต้องตาย ใครจะเชื่อไม่เชื่อ มันเป็นความเชื่อ คือความรู้สึกของใจ แต่สัจจะความจริงมันเป็นแบบนั้นล้านเปอร์เซ็นต์

ล้านเปอร์เซ็นต์สภาวะแบบนั้น แต่กิเลสมันจะคัดค้านว่าคนเกิดคนตายจริง สมัยก่อนทำไมคนมี ๑๖ ล้าน เดี๋ยวนี้ทำไมคนมีถึง ๖๐ ล้าน ๗๐ ล้าน แล้วจะมีเป็นพันๆ ล้าน มันจะมีมากขึ้นไปมหาศาล เพราะจิตนี้มีมหาศาลเลย จิตนี้เวลามันเกิดมีมหาศาล จิตนี้มีอยู่โดยดั้งเดิมของมัน

บุพเพนิวาสานุสติย้อนอดีตชาติไปไม่มีวันที่สิ้นสุด แต่เพราะเราสร้างบุญกุศล หมุนไปในวัฏฏะ อำนาจวาสนาเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา สิ่งที่ท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้คือบุญกุศลของเรา แล้วพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้ให้เราก้าวเดิน ให้อุบาสก อุบาสิกาก้าวเดิน ให้ภิกษุได้พยายามค้นคว้าหาตัวเองไง

เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงจะมีโอกาสขึ้นมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติก็ลุ่มๆ ดอนๆ เราเข้าใจว่าปฏิบัติ เราองอาจกล้าหาญ เราว่าเรานี้เก่งกล้ามหาศาล เราทำความสงบของใจได้ แต่ถ้าลมหายใจขาดตายเดี๋ยวนั้นมันจะรู้เลยว่า เราก็ต้องมาติดอยู่ในวัฏฏะ ติดอยู่ในภพของสิ่งที่ว่าจิตนั้นไปเกิดในสถานะไหน ถ้าจิตสงบนี้ไปเกิดเป็นพรหม มันก็จะไปเกิดบนพรหมนั้น มันจะไปนั่งงกๆ เงิ่นๆ อยู่ตรงนั้นไง

แต่ถ้ามันมีวิปัสสนาเข้ามาในหัวใจ มันทำลายกิเลสหมดออกไปจากใจ การตายและการเกิด เห็นไหม พระอรหันต์จะอยู่สักกี่กัปก็ได้ เพราะอะไร เพราะมีอิทธิบาท ๔ จิตตะ วิมังสา จิตนี้มันเคลื่อนไป มันเห็นความเคลื่อนไปของจิต จิตมันจะตายนี่มันเคลื่อนออกจากร่างกายอย่างไร มันหดตัวมันเข้ามาจากความรับผิดชอบอย่างไร มันจะเกิดตายอย่างไร มันเห็นสภาวะแบบนั้น แล้วจิตตะ จิตตะคือตัวจิต วิมังสาคือการใคร่ครวญของมันอยู่ มันจะไปไหนล่ะ จิตมันจะไปไหน ก็จิตมันอยู่กับเราอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะไปเกิดไปตายที่ไหน

การตายนี้ถึงเป็นสมมุติไง วัฏฏะมันมาจบกันตรงนี้ ถ้าวัฏฏะจบกันตรงนี้ นี่เราทอดกฐินกันก็เพราะเหตุนี้ เหตุเพื่อการสร้างบุญบารมีของเรา ถ้าเราสร้างบุญบารมีของเรา การเกิดและการตายก็ขอให้มันมีอำนาจวาสนา ให้มีบุญกุศลอันนี้ให้เป็นสิ่งที่พาจิตนี้เกิดขึ้นมาให้มีสถานะที่มีความสุขพอสมควรในจิตของเรา จิต จิตในแต่ละสถานะของภพชาติไหนก็ให้มันเกิดขึ้นมาในสถานะของภพชาตินั้น ภพชาตินั้นนะ

เวลาครูบาอาจารย์เราฟื้นฟูศาสนา ฟื้นฟูศาสนาเพื่ออะไรล่ะ? ก็ฟื้นฟูศาสนามาเพื่อความเข้มแข็งของภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เข้มแข็งขึ้นมาเพราะทุกคนรักษาตัวเองรอดได้ พระก็รักษาตัวของพระรอด อุบาสกก็รักษาตัวของอุบาสกรอด อุบาสิกาก็รักษาตัวของอุบาสิการอด รักษาตัวรอดแต่ภพแต่ชาติไป

แต่เวลาภิกษุ เห็นไหม รักษาชีวิตรอดขึ้นมาได้ จากชีวิตหนึ่งนะ แล้วถ้ารักษาหัวใจรอด พ้นจากกิเลสไปได้อีกนะ สิ่งนี้จะเป็นบุญกุศลมหาศาลเลย บุญกุศลมหาศาลเพราะมันจะเข้าใจตามวัฏฏะ เห็นสัตว์โลกนะมันเคลื่อนไปตามวัฏฏะแล้วมันสลดสังเวช นี่ปลงธรรมสังเวช ธรรมสังเวชคือความสลดของใจที่มันรู้มันเห็น แล้วสิ่งนี้มันต้องเวียนไปตามวัฏฏะอย่างนั้น มันสังเวชมาก

แต่คนตาบอดมันไม่เห็น คนตาบอดมันอหังการ มันบอกว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้เกิดตายขึ้นมาตามธรรมชาติของมันแล้วมันจะหมดไปตามธรรมชาติของมัน แต่ความทุกข์ที่ใจทุกคนทุกข์มาก ทุกข์โดยไม่ต้องบอกใคร มันก็ทุกข์ คนมั่งมีศรีสุขก็ทุกข์ คนจนทุกข์จนเข็ญใจก็ทุกข์ เพราะทุกข์นี้เป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอันหนึ่ง ถ้าเรายอมรับความจริงอันนี้ แล้วเราพยายามจะค้นคว้าอันนี้ เราถึงจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่เราจะจรรโลงศาสนา เพราะศาสนานี้เป็นเนื้อนาบุญของโลก แล้วถ้าไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีสงฆ์ประชุมกัน เราจะทอดกฐินได้อย่างไร เราจะทอดกฐินได้ต่อเมื่อสงฆ์ ๕ องค์ขึ้นไปประชุมกัน นี่เป็นองค์กรของสงฆ์เกิดขึ้น มันเข้มแข็งอย่างนี้ ไม่มีอะไรเลย แต่พระรวมตัวขึ้นไปตั้งญัตติขึ้นมานั้นเป็นวินัยกรรมแล้ว สิ่งที่เป็นวินัยกรรมนั้น นี่สังฆะเกิดขึ้น สิ่งที่สังฆะเกิดขึ้นมันจะฝังไปในธรรมวินัยไง

ธรรมวินัย เห็นไหม เวลาเราทอดกฐิน พระสงฆ์จะจากที่ไปโดยที่ไม่ต้องบอกลา มันยกเว้นอาบัติหลายข้อ ถึง ๑ ปีมีโอกาส ๑ เดือน มีโอกาส ๑ เดือนคือเราได้ทอดกฐินหนหนึ่ง แต่ถ้าเราจะทำบุญโดยปกติมันทำบุญได้ตลอดไป สิ่งที่ตลอดไปทำบุญอะไรก็ได้ บุญมันถึงไม่เท่ากัน สิ่งที่ไม่เท่ากันในบุญกุศล สิ่งนี้มีบุญมหาศาล

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกการทำบุญที่เป็นบุญมหาศาลคือทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี ก็พระอัครสาวก พระอรหันต์ พระอนาคามี พระต่างๆ ลงมา ถ้าไม่มีใครแล้วให้คิดถึงสังฆะ ให้คิดถึงสงฆ์ที่รวมตัวกัน ให้สังฆทานขึ้นมา

แต่นี้มันเป็นสงฆ์ มันเป็นสังฆะ มันเป็นวินัยกรรม มันเป็นกฐิน กรานกฐินที่จะต้องให้พระหาปัจจัย ๔ คือส่งเสริมให้พระนี้พร้อมที่จะออกรบ พระนี้รวมตัวกัน ค้นคว้า ขณะที่หยุด คือหยุดภายใน ๓ เดือน ค้นคว้าหาตัวเองเจอไหม ออกพรรษาแล้ว ในเมื่อยังไม่เจอ ยังค้นคว้าไม่ได้ ก็ออกวิเวก ออกค้นคว้าหาต่อไป

ทำไมพระเจ้าพิมพิสารบอกกับเจ้าชายสิทธัตถะว่า “ถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วได้ธรรม ขอให้มาสั่งสอนด้วย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปสอนพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน พระเราเป็นนักรบ พระเราเป็นผู้ที่รบกับกิเลส พระเราเป็นผู้ที่รบค้นคว้าหาธรรมมาเพื่อจะให้ธรรมเป็นธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเป็นธรรมในหัวใจของเรา เป็นธรรมส่วนบุคคล เป็นธรรมของพระองค์นั้น ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว ตู้พระไตรปิฎกคือกริยาธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ถ้าเราจำมา เราพยายามจำมา เราก็อปปี้มา มันก็จะเป็นสิ่งที่ว่าไปโกงสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของเรา มันจะไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงเลย เพียงแต่ใจมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันเป็นการสร้างสัญญาอารมณ์ สร้างความรู้สึกอันนั้นขึ้นมา มันว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรม

เวลามันตายไป มันจะรู้เลยสิ่งที่เป็นธรรม เป็นธรรม เชื้อไขสิ่งที่มันอยู่ในหัวใจ มันจะแสดงตัวออกมา แล้วมันจะเห็นว่ามันอยู่ในวัฏฏะไหน มันอยู่ในภพไหน มันอยู่ในวิถีไหน ในเมื่อมันจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แต่ถ้ามันกล่าวตู่ มันตกนรกอเวจีนั้น มันเป็นเพราะมันกล่าวตู่ มันบิดเบือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นธรรมของเรา เราจะรู้ของเรา เราจะเห็นของเรา

นักรบรบอย่างนี้ แล้วศาสนาเจริญอย่างนี้ แล้วเอามาเผยแผ่ สิ่งที่เผยแผ่ถึงบอก ธรรมอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตสามารถจี้เข้าไปในใจดำ สิ่งที่กระเทือนหัวใจของเรา ธรรมในพระไตรปิฎก เรา กิเลสเป็นคนที่เลือกเอง ค้นคว้าเอง คัดลอกเอง มันไม่มีการสะเทือนใจ มันสงวน กิเลสมันสงวนตัวเรา มันไม่ต้องการให้กระเทือนตัวเรา เราถึงพอใจอ่านหนังสือ พอใจค้นคว้าเพราะหนังสือมันว่าเราไม่ได้

แต่ครูบาอาจารย์นี่คอยจี้ คอยจี้เรา จี้ให้เราเห็นโทษของกิเลส เราถึงไม่ชอบครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์คอยตำหนิติเตียนเรา เราว่าอย่างนั้นนะ แต่คือการติเตียนกิเลส กิเลสในหัวใจของเรา ครูบาอาจารย์ไม่ได้ติเรา ครูบาอาจารย์ติกิเลสในหัวใจของเราต่างหาก แต่กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสมันพยายามปกป้องมัน แล้วกิเลสมันอหังการว่าสิ่งใดๆ ก็ไม่มี สิ่งใดๆ ก็เป็นไปไม่ได้

นั่นเรื่องของโลกนะ ถ้าเรื่องของธรรมสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่มันมีเหตุมีผล มีสิ่งตรงกันข้าม สิ่งที่ไม่มีมันอาจจะมีก็ได้ สิ่งที่มีมันอาจจะไม่มีก็ได้ อาจจะนะ อาจจะเพราะไม่มีใครเคยเห็นมันเลย แต่ถ้าเราค้นคว้าเห็นจริงของเรา “อาจจะ” ไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นอย่างเดียว นี้คือสัจธรรมความจริง

อริยสัจไม่ใช่สิ่งที่สมมุติ อริยสัจ สิ่งที่เหนือสมมุติทั้งหมด แล้วมันเกิดในหัวใจของเรา แล้วเราจะไปตื่นเต้นกับสิ่งใดๆ ที่มันเป็นสมมุติโลกนี้ทั้งหมดเลย นี่ธรรมในหัวใจของครูบาอาจารย์เราถึงจะจี้เข้ามาที่ใจดำของเราได้ ชำระกิเลสของเราได้

นี่สงฆ์รวมตัวกัน แล้วเราจะทอดกฐินนะ ถ้าเราทอดกฐินนี้แล้วจะเป็นบุญกุศลของเรา ถึงจะเริ่มต้นให้ทอดกฐิน เอวัง